Error detection คืออะไร พร้อมเทคนิคทำข้อสอบแบบ error ให้เป๊ะ
21795 views | 04/01/2022
Copy link to clipboard
Hathaichanok Yimchan
Content Creator


หากน้อง ๆ ต้องการทำข้อสอบแบบ Error ได้อย่างเข้าใจถึงความหมายหรือวัตถุประสงค์ต้องรู้ก่อนว่า Error Detection คือ อะไร เรามาดูความหมายแบบเข้าใจง่าย ๆ กันดีกว่า


Error Detection มีความหมายว่า การตรวจจับข้อผิดพลาดที่จะความเข้าใจของรายละเอียดในการอ่าน เป็นชุดย่อยในส่วนของประโยคที่ถูกต้อง มีเป้าหมายหลักก็คือ เพื่อให้สามารถระบุประโยคที่สามารถแก้ไขได้หรือจำเป็นต้องแก้ไข 


ข้อสอบ Error Identification หรือ ข้อสอบ Error เป็นข้อสอบที่มักจะพบได้บ่อยมากมีแทบทุกข้อสอบสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ทั้งยังเป็นการทดสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษรวมถึงความรู้ด้านไวยากรณ์ของบุคคลทั่วไปด้วย



วันนี้พี่อยากชวนน้อง ๆ มาติวก่อนจะเข้าไปทำ ข้อสอบ Error Identification เรามาดูกันว่าอะไรที่มักจะถูกหลอกในการทำข้อสอบกันบ้าง? เพื่อที่จะได้ทำข้อสอบให้เป๊ะ ๆ กับตัวอย่าง 5 แบบที่พบได้บ่อย ๆ 


แบบที่ 1 การใช้ Article ที่เป็นคำนำหน้านาม 

ในภาษาอังกฤษก็จะมีอยู่ 3 อย่างคือ a, an และ the ดังสองตัวอย่างต่อไปนี้


ตัวอย่างแรก

ประโยคที่ผิด During fall and winter I'm coming to my hometown by plane.

ประโยคที่ถูก During the fall and winter I'm coming to my hometown by plane.


คำอธิบาย 

เราจะเห็นความแตกต่างของ 2 ประโยคนี้เพียง 1 ตำแหน่ง คือการใช้ Article “the” กับไม่ใช้ ที่ถูกต้องก็คือคำนามที่หมายถึงฤดูกาลจะต้องมี the นำหน้าเสมอ ประโยคนี้แปลว่า ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฉันจะมาบ้านเกิดโดยทางเครื่องบิน


ตัวอย่างที่ 2 

ประโยคที่ผิด I don’t have business currently, but I have business in fall.

ประโยคที่ถูก: I don’t have a business currently, but I have a business in the fall.


คำอธิบาย

business เป็นคำนามที่นับได้ ดังนั้นจึงต้องดูว่าเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ ซึ่งในประโยคนี้เป็นนามเอกพจน์ ดังนั้นคำนำหน้านามจึงต้องเป็น a และ an ซึ่งบางคนอาจสับสนว่า business เป็นนามที่เป็นพหูพจน์เพราะมี s ต่อท้าย แต่ที่จริงแล้วคำนี้เป็นนามเอกพจน์ ประโยคนี้แปลว่า ณ ช่วงเวลานี้ฉันยังไม่มีธุรกิจอะไร แต่ฉันจะมีธุรกิจในฤดูใบไม้ผลิ


  แต่อาจจะมีบางคนสับสนว่าจะใช้ “the”แทนได้หรือไม่ถ้าไม่ใช้ a หรือ an ตอบว่าได้ เพราะการใช่ “the” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคำนามนั้นจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ หากเราใส่ “the” ลงไปก็จะหมายถึงว่าเราพูดถึงสิ่งนี้อยู่ไม่ได้พูดถึงสิ่งอื่น 



แบบที่ 2 All, Each และ Every

2.1 All 

All มีความหมายว่าทั้งหมด ซึ่งพูดถึงหรือหมายถึงจำนวนรวมของนามที่เป็น คน สัตว์และสิ่งของ ในกลุ่มที่มีจำนวนมาก และไม่ได้หมายถึงคำนามที่เฉพาะอย่างหรือเฉพาะราย


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด A classmate students were able to solve the complicated problem. 

ประโยคที่ถูก All classmate students were able to solve the complicated problem.


ข้อสังเกต เมื่อ All + คำนามพหูพจน์ (plural noun) เป็นประธานของประโยค คำกิริยาต้องเป็นพหูพจน์ด้วย ประโยคนี้แปลว่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้


2.2 Each และ Every 

ทั้ง 2 คำล้วนแล้วแต่นำมาขยายคำนามในรูปแบบเอกพจน์เสมอ มีโอกาสทำให้เราพลาดบ่อย ๆ กับการทำข้อสอบในรูปแบบนี้ เพราะหลายคนอาจจะสับสนกับคำนามที่ให้มา และความหมายของทั้ง 2 คำนี้ก็จะคล้าย ๆ กันด้วย อย่างเช่น

Your salary goes up each year เงินเดือนของคุณเพิ่มขึ้นในแต่ละปี

Your salary goes up every year เงินเดือนของคุณเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี


ในส่วนของ each ต้องตามด้วยนามเอกพจน์เสมอ หากจะมีโอกาสผิดพลาดก็คือการที่ไม่ได้สังเกตคำนามนั้นให้ดีว่าเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด The president presented a reward to each office workers.

ประโยคที่ถูก The president presented a reward to each office worker.


ข้อสังเกต ประโยคที่ผิดเพราะใช้ each กับคำนามที่เป็นพหูพจน์ (plural noun) ประโยคที่ถูกต้องจะต้องเป็นนามเอกพจน์ (singular noun) เท่านั้น ประโยคนี้แปลว่า ท่านประธานได้มอบรางวัลให้พนักงานบริษัทแต่ละคน



เนื่องจากความหมายของ every หมายถึงทุก ๆ คน ที่มีคนจำนวนมากกว่า 1 คน หรือจะเรียกว่าหลายคนก็ได้ จึงทำให้เข้าใจผิดว่าคำนี้เป็นพหูพจน์ แต่ความหมายที่แท้จริงของ every คือการรวมกันหรือกระจุกกันอยู่ในพื้นที่เดียวกันที่รวมเป็น 1 หน่วย ดังนั้นนามที่ตามด้วย every จึงต้องเป็นนามเอกพจน์


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด The president presented a reward to every office workers.

ประโยคที่ถูก The president presented a reward to every office worker.


ข้อสังเกต ประโยคนี้จะมีความใกล้เคียงกับการใช้ each มาก ที่ต้องใช้กับนามเอกพจน์ (singular noun) เท่านั้น ประโยคนี้แปลว่า ท่านประธานได้มอบรางวัลให้พนักงานบริษัททุก ๆ คน


แบบที่ 3 each of และ every of 

ทั้ง 2 คำจะใช้กับนามที่เป็นพหูพจน์ (plural noun) ตามด้วยกริยาที่เป็นเอกพจน์ (singular verb) ที่ต้องเติม S 


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด Each of those companies have a new position of marketing.

ประโยคที่ถูก Each of those companies has a new position of marketing.


ข้อสังเกต แม้ว่า companies จะเป็นนามพหูพจน์ก็จริง และกริยาก็ต้องพหูพจน์ด้วย แต่เรื่องจากว่า have เป็นกริยาที่ขยาย each ดังนั้นที่ถูกต้องจึงต้องใช้ has ที่เป็นกริยาเอกพจน์ ประโยคนี้แปลว่า แต่ละบริษัทเหล่านั้นมีตำแหน่งใหม่ของฝ่ายการตลาด


แบบที่ 4 Few และ Little

ความแตกต่างของทั้ง 2 คำคือ Few ใช้กับ นามพหูพจน์ (plural noun) ส่วน Little ใช้กับ นามเอกพจน์ (singular verb) บางครั้งก็อาจจะมีคนสงสัยว่า a few กับ a little ใช้ต่างกันหรือไม่ ตำตอบคือใช้เหมือนกัน แต่ความหมายจะต่างกัน Few และ Little จะหมายความถึงว่าน้อย แต่ a few กับ a little จะหมายถึงน้อยมาก


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด May be simply need a few encouragement. 

ประโยคที่ถูก May be simply need a little encouragement.


ข้อสังเกต encouragement ที่แปลว่ากำลังใจเป็นนามที่นับไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเอกพจน์ ซึ่งต้องใช้กับ little จึงจะถูกต้อง

ประโยคนี้แปลว่า เพียงแค่ต้องการกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ 


แบบที่ 5 More Than

ใช้สำหรับการเปรียบเทียบว่ามีสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง


ตัวอย่างประโยค

ประโยคที่ผิด Overhearing is innocent than eavesdropping

ประโยคที่ถูก Overhearing is more innocent than eavesdropping


ข้อสังเกต เราอาจจะถูกข้อสอบลวงในกรณีที่ในประโยคมีคำว่า More แต่ไม่มีคำว่า than ยิ่งถ้าไม่ได้อยู่ติดกันแล้วยิ่งจะถูกละเลยได้ง่าย ๆ สิ่งที่เราจะสังเกตได้ก็คือหากเราพบว่ามีคำว่า than ในประโยค เราจะต้องหาว่าในประโยคนั้นมีคำว่า more อยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็แสดงว่าประโยคนั้น Error ประโยคนี้แปลว่า การได้ยินนั้นยังไร้เดียงสามากกว่าการแอบฟัง



   เมื่อน้อง ๆ ได้เข้าใจคำว่า Error detection ดีแล้ว รวมถึงเข้าใจว่า ข้อสอบ Error มีความหมายอย่างไร จากข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น พร้อมทั้งรูปแบบที่มักจะถูกนำมาทดสอบ 5 แบบแล้ว เท่านี้ก็จะช่วยให้น้อง ๆ ทำข้อสอบแบบ error ได้ไม่ยาก แต่เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ดียิ่งขึ้น ลองมาทำข้อสอบตัวอย่างจริงกันที่เคยมีการใช้ในการทดสอบ โดยทั่วไปข้อสอบในรูปแบบนี้จะมีการขีดเส้นใต้ให้ตรวจสอบ เพื่อที่จะให้เราดูว่าที่ตรงไหนผิดพลาดบ้าง 


ตัวอย่างข้อสอบ GAT รหัสวิชา 85 ความถนัดทั่วไป (GAT ตอนที่ 2) สอบวันเสาร์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561ข้อที่ 47

   A flash flood (1) results from a number of (2) factors, but (3) are most often (4) due to (5) extremely heavy rainfall thunderstorms.


   เมื่อเห็นประโยค สิ่งแรกที่ต้องทำคือหา Verb แท้และประธานของประโยคให้พบ เพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง พบตัวแรกคือ “results” ที่ทำการเติม s และ “are” ก็คาดการณ์ได้ว่าต้องเป็น Verb เมื่อพบว่า Verb แท้อยู่ตรงไหน ส่วนข้างหน้าก็จะเป็นประธาน

   ในประโยคนี้มีคำเชื่อม “but” แล้วมาเจอ “are” เลย A flash flood results from a number of factors จึงเป็นประธานร่วม และประธานตัวจริงก็คือ A flash flood ซึ่งเป็นนามเอกพจน์ ดังนั้น Verb ที่ใช้ก็ต้องเป็น Verb เอกพจน์ด้วย หลังคำว่า but จึงต้องเปลี่ยนจาก “are” เป็น “is” จึงจะถูกต้อง ส่วนอีก 2 คำที่เหลือพบว่าเป็นคำที่สอดคล้องกับประโยคแล้ว 


ประโยคที่ถูกต้องจะต้องเป็นดังนี้

A flash flood (1) results from a number of (2) factors, but (3) is most often (4) due to (5) extremely heavy rainfall thunderstorms.

ประโยคนี้แปลว่า เหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันเกิดมาจากสาเหตุหลายประการ แต่ว่ามักจะเกิดจากฝนตกอย่างหนักจากพายุฝน


  ถ้าน้อง ๆ ต้องการความแม่นยำและถูกต้อง การฝึกฝนบ่อย ๆ จะช่วยให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้ดีที่สุดนะคะ และนี่ก็คือการสรุปโดยย่อว่า Error detection คือ อะไร พร้อมบอกเทคนิคทำข้อสอบแบบ error ให้เป๊ะ ๆ อย่าลืมนำไปฝึกฝนกันนะคะ

ที่มาข้อมูล

  • https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33168
  • https://dict.longdo.com/search/ERROR
  • https://dict.longdo.com/search/detection
  • https://www.toppr.com/guides/english-language/correct-sentence/error-detection/
  • https://www.opendurian.com/exercises/error1_eng/1/
  • https://youtu.be/C3mNqHFbKNg