Tense นี้แปลเป็นภาษาไทยก็จะได้ความหมายว่า “ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง” หมายถึง เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันหรือกำลังเกิดขึ้น ณ ตอนที่กำลังพูดอยู่นั่นเอง รูปแบบพื้นฐานของ Tense นี้จะมีโครงสร้างหรือหน้าตาตามตัวอย่างด้านล่าง โดยแบ่งเป็นประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม ดังต่อไปนี้
โครงสร้างธรรมดาหรือโครงสร้างประโยคประกอบไปด้วย ประธาน และกริยาช่วยอย่าง Verb to be ตามด้วย V -ing ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ซึ่ง Verb to be ในโครงสร้างนี้ก็จะอยู่ในรูปปัจจุบันหรือกริยาช่องแรก is, am, are การใช้นั้นก็ขึ้นอยู่กับประธานว่าจะเป็น I (ฉัน) ตัวเราเองคู่กับ am หรือจะเป็น Singular Pronoun (สรรพนามกลุ่มเอกพจน์) เช่น He, She, It (เขา, เธอ, มัน) ที่ใช้กับ is หรือ Plural Pronoun (สรรพนามกลุ่มพหูพจน์) อย่าง You, We, They (คุณ, พวกเรา, พวกเขา) โดยสรรพนามพหูพจน์ คือ กลุ่มคนที่เราพูดด้วย แต่สรรพนามเอกพจน์คือบุคคลที่สามที่เราพูดถึงหรือ He, She, It
หลังจากทำความเข้าใจกันเบื้องต้นแล้ว ก็มาดู Present Continuous Tense ในประโยคบอกเล่ากันเลยดีกว่า
1. I am eating at the restaurant.
= ฉันกำลังกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร
2. She is running at the park.
= เธอกำลังวิ่งอยู่ในสวนสาธารณะ
3. We are watching a film.
= พวกเรากำลังชมภาพยนตร์อยู่
นอกจากนี้ประธานต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยังมีคำอื่น ๆ อย่างเช่น ชื่อหรือกลุ่มคน เพื่อแสดงความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยมีหลักการใช้เดียวกัน
1. Somsri is teaching her students in the classroom.
= สมศรีกำลังสอนนักเรียนของเธออยู่ในห้องเรียน
2. My children are doing their homework.
= ลูก ๆ ของฉันกำลังทำการบ้านของพวกเขาอยู่
เรายังสามารถใช้ Adverbs of Time หรือ คำวิเศษณ์แสดงเวลา ที่บ่งบอกความเป็นกาลเวลาเฉพาะมากขึ้น ใช้บอกเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราต้องจำใน Tense นี้ คำวิเศษณ์แสดงเวลาใน Present Continuous จะประกอบไปด้วย Now, Right now และ At the moment ที่มีความหมายว่า ณ ตอนนี้ หรือ ณ ขณะนี้ แถมอีกคำหนึ่งก็คือคำว่า Still ที่แปลว่า ยังคง…. ในขณะที่กำลังพูด
1. I am working on a new project now.
= ตอนนี้ฉันกำลังทำงานโครงการใหม่อยู่
2. My father is working in his office at the moment.
= พ่อของฉันกำลังทำงานอยู่ที่ออฟฟิศของเขาอยู่ ณ ขณะนี้
3. We are still waiting for their reply.
=พวกเรายังคงกำลังรอคำตอบจากพวกเขาอยู่
Tense นี้ไม่ได้นำไปใช้กับประโยคที่ทำในขณะที่พูดอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำไปใช้กับการกระทำในอนาคตที่มีการวางแผนไว้แล้วได้อีกด้วย โดยอาศัย Adverbs of Time หรือ คำวิเศษณ์แสดงเวลาที่บ่งบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น this evening (เย็นนี้), today (วันนี้), tonight (คืนนี้), tomorrow (พรุ่งนี้), this weekend (สุดสัปดาห์นี้), next week (สัปดาห์หน้า), next month (เดือนหน้า), next year (ปีหน้า) เป็นต้น
1. I am going to meet my mom this evening.
= ฉันกำลังจะไปเจอแม่ของฉันเย็นนี้
2. That puppy is moving to a new house tomorrow.
= ลูกหมาตัวนั้นกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่วันพรุ่งนี้
3. We are studying business communication this weekend.
= เรากำลังจะเรียนเรื่องการสื่อสารธุรกิจกันในสุดสัปดาห์นี้
4. They are seeing the doctor next week.
= พวกเขาจะไปพบแพทย์กันสัปดาห์หน้า
ในรูปการณ์ใช้ Present Continuous สำหรับอนาคตนี้ รวมถึงการใช้ to be going to ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีความหมายว่าฉันกำลังจะ …. หรือฉันจะ…. คล้ายกับรูป Future Simple Tense หรือ will แต่เป็นการกระทำในอนาคตที่มีการวางแผนเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดย to be going to จะมีรูปแบบ ดังนี้
1. It’s late. I don't think he’s going to do his homework tonight.
= ดึกขนาดนี้ ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ทำการบ้านคืนนี้แล้วล่ะนะ
2. Look at those clouds. It's going to rain soon.
= ดูเมฆพวกนั้นสิ ฝนกำลังจะตกในเร็ว ๆ นี้แล้ว
3. I am going to see a play tomorrow.
= ฉันจะไปดูการแสดงละครพรุ่งนี้
รู้โครงสร้างประโยคบอกเล่ากันแล้วก็มาดู Present Continuous Tense ตัวอย่างประโยคปฏิเสธกันต่อเลย
ประโยคปฏิเสธสามารถพูดได้ไม่ยากเลย เพียงแค่เติม not หลัง verb to be เท่านั้น ประโยค Present Continuous ของเราก็จะกลายเป็นประโยคปฏิเสธแล้วล่ะ
1. I am not waiting for you at home.
= ฉันไม่ได้กำลังรอเธออยู่ที่บ้าน
2. The boy is not playing in the garden.
= เด็กผู้ชายไม่ได้กำลังเล่นในสวน
3. They are not learning Chinese at the moment.
= พวกเขาไม่ได้เรียนภาษาจีน ณ ขณะนี้
4. Students are not listening to me right now.
= ตอนนี้นักเรียนไม่ได้กำลังฟังฉันเลย
5. My father and mother are not going to work this weekend.
= พ่อและแม่ของฉันไม่ได้ไปทำงานสุดสัปดาห์นี้
สำหรับประโยคคำถามจำได้ไม่ยากเช่นกัน เพียงแค่สลับ verb to be มาไว้หน้าประโยค เราก็จะได้ประโยคคำถามของ Present Continuous ในรูปแบบ yes/no questions แล้ว (การถาม-ตอบแบบใช่หรือไม่ใช่ ส่วนคำตอบจะเป็น yes หรือ no นั่นเอง)
1. Am I reading a book right now?
= ตอนนี้ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่หรือเปล่า (อาจจะให้คนอื่นทาย)
2. Is the dog sleeping in my bedroom?
= เจ้าหมากำลังหลับอยู่ในห้องนอนของฉันหรือเปล่า
3. Are you walking home now?
= ตอนนี้เธอกำลังเดินกลับบ้านอยู่หรือไม่
4. Is he buying a new computer next month?
= เขาจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เดือนหน้าใช่ไหม
5. Is it raining outside at the moment?
= ตอนนี้ฝนกำลังตกอยู่หรือเปล่า
1. Why am I crying?
= ฉันกำลังร้องไห้ทำไม
คำตอบ: You are crying because you failed the exam.
= เธอกำลังร้องไห้ เพราะเธอสอบตกน่ะสิ
2. When is he playing at the concert again?
= เขากำลังจะเล่นคอนเสิร์ตอีกทีเมื่อไหร่
คำตอบ: He is going to play the concert in June.
= เขาจะเล่นคอนเสิร์ตเดือนมิถุนายน
3. How are we getting to the beach?
= เราจะไปชาดหาดกันอย่างไร
คำตอบ: We are getting there by hotel’s car.
= เราจะไปที่นั่นกันด้วยรถของโรงแรม
4. Where is she going to study?
= She is going to study at a university in Bangkok.
คำตอบ: เธอกำลังจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
เห็นไหมว่าหลักการใช้ Present Continuous Tense ไม่ยากเลย นอกจากจะฝึกเรียนกันไปใช้ในการทำข้อสอบกันแล้วก็ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้พูดคุยกับชาวต่างชาติในชีวิตประจำวันได้อีกด้วยเพียงแค่เราจะต้องรู้ว่า Present Continuous Tense มีหลักการใช้อย่างไรเท่านั้นเอง เท่านี้เราก็จะนำ Tense นี้ไปใช้ได้อย่างสบาย ๆ
ที่มาข้อมูล