นี่คือรูปประโยคบอกเล่าที่เราต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก โครงสร้างธรรมดาหรือโครงสร้างประโยคบอกเล่าก็จะประกอบไปด้วย ประธาน กริยาช่วยอย่าง Verb to have และ V3 หรือกริยาช่องที่ 3 ที่เป็น Verb แท้ก็เป็นอันจบ ซึ่ง Verb to have ในโครงสร้างนี้ก็จะอยู่ในรูปปัจจุบันหรือกริยาช่องแรก have, has สำหรับการใช้นั้นก็ขึ้นอยู่กับประธานว่า ประธานจะเป็น I (ฉัน) ตัวเราเองคู่กับ have หรือจะเป็น Singular Pronoun (สรรพนามกลุ่มเอกพจน์) เช่น He, She, It (เขา, หล่อน,มัน) ที่ใช้กับ has และสุดท้ายก็คือ Plural Pronoun (สรรพนามกลุ่มพหูพจน์) อย่าง You, We,They (คุณ, พวกเขา, พวกเขา) ก็จะใช้กับ have ด้วยเช่นกัน โดยสรรพนามพหูพจน์คือกลุ่มคนที่เราพูดด้วย แต่สรรพนามเอกพจน์คือบุคคลที่สามที่เราพูดถึงอย่าง He, She, It ที่ปรากฎด้านบน
จบประโยคบอกเล่าแล้วก็มาดูที่ประโยคปฏิเสธกันเลย เพียงแค่เราเติม not เข้าไปหลัง have, has ก็จะได้ประโยคปฏิเสธที่เราต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ
สำหรับประโยคคำถามแล้วก็จำได้ไม่ยากเช่นกัน เราเพียงแค่สลับเอา verb to have มาไว้หน้าประโยคเราก็จะได้ประโยคคำถามของ Present Perfect ในรูปแบบ yes/no questions หรือการถามตอบแบบใช่และไม่ใช่ คำตอบก็คือ yes หรือ no สำหรับการตอบคำถามประเภทนี้ แต่ถ้าอยากให้เป็น Wh-question เพื่อถามว่า ใคร (who) ทำอะไร (what) ที่ไหน (where) เมื่อไหร่ (when) ทำไม (why) และอย่างไร (how) ก็สามารถนำคำพวกนี้ไปวางไว้หน้าสุดของประโยคได้เลย
เห็นไหมว่า รูปประโยคของ Present Perfect จำได้ไม่ยากเลย แต่สิ่งที่จะต้องจำยิ่งไปกว่านั้นก็คือวิธีการใช้ของมันนั่นเอง โดยวิธีการใช้ Present Perfect จะแบ่งออกเป็น 4 ข้อดังต่อไปนี้
ข้อแรกคือการใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต ยาวนานมาจนถึงปัจจุบันและไม่มีแนวโน้มที่จะหยุด โดยเราสามารถสังเกตและใช้คำที่เรียกว่า Conjuntion หรือคำสันธานสุดฮิตประจำ Tense อย่าง since (ตั้งแต่) และ for (มาเป็นเวลา) ส่วนทริคการใช้ 2 คำนี้จำได้ไม่ยากเลย ซึ่ง since + จุดเริ่มต้นของเวลาตั้งแต่อดีต สามารถเชื่อมกับประโยคหรือเวลาเลยก็ได้ แต่ for + ระยะเวลา ที่เป็นคำนาม ไม่ใช่เชื่อมกับรูปประโยค เพื่อบ่งบอกว่า กระทำมานานเท่าไหร่แล้ว มาทำความเข้าใจกับประโยคตัวอย่างกันเลยดีกว่า
1. She has lived here with her husband for over 30 years.
= เธออาศัยอยู่ที่นี่กับสามีของเธอมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว (ยังจะอยู่ต่อไปอีกโดยไม่มีเวลาบอกว่าจะย้าย)
2. I have known Maya since 1990.
= ฉันรู้จักมายามาตั้งแต่ปี 1990 (ปัจจุบันก็ยังรู้จักกัน)
3. They have worked at this restaurant since they graduated school.
= พวกเขาทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งแต่เรียนจบมา (ตอนนี้ก็ยังทำงานที่นี่อยู่)
4. I have not been to England since July.
= ฉันไม่ได้ไปประเทศอังกฤษมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว (เคยไปมาแล้ว)
5. Where have you been since the meeting ended?
= คุณไปอยู่ไหนมาตั้งแต่การประชุมจบลง
สำหรับสถานการณ์นี้ เรามักจะเห็นคำว่า just (เพิ่งจะ…แล้ว), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง – บริบทนี้ใช้กับประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม) เป็นตัวบ่งบอกเวลาสำหรับ Tense นี้
1. He has just finished his internship at the airport.
= เขาเพิ่งฝึกงานที่สนามบินเสร็จ (เพิ่งผ่านการฝึกงานมา)
2. She has already written the report.
= เธอเขียนรายงานเรียบร้อยแล้ว (เพิ่งเขียนเสร็จไม่นาน)
3. The company just made a big announcement.
= ทางบริษัทเพิ่งจะออกประกาศครั้งใหญ่ไปเอง (เพิ่งประกาศเสร็จ)
4. I have not finished my homework yet.
= ฉันยังทำการบ้านของฉันไม่เสร็จเลย (ตอนนี้ก็ยังปั่นการบ้านอยู่)
5. Have they cleaned their rooms yet?
= พวกเขาทำความสะอาดห้องกันหรือยัง
1. He has broken his leg, so he is not playing tennis anymore.
= เขาขาหัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เล่นเทนนิสอีกเลย (ตอนนี้ขาก็ยังหักอยู่)
2. I have lost my purse untill now.
= ฉันทำกระเป๋าเงินหายจนถึงตอนนี้ (หายไปตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ)
3. We have missed the bus.
= เราไปขึ้นรถโดยสารไม่ทัน (ตอนนี้ก็ยังหารถขึ้นไม่ได้)
4. They have not called me yet. I don't think they need me today.
= พวกเขายังไม่โทรหาฉันเลย ฉันคิดว่า พวกเขาคงไม่ต้องการฉันแล้วล่ะวันนี้
1. It has rained a lot this month.
= เดือนนี้ฝนตกหนักมากเลย (ตอนนี้ยังไม่หมดเดือนก็ยังตกอยู่)
2. I have worked hard this week.
= ฉันทำงานหนักมากเลยสัปดาห์นี้ (ยังไม่หมดสัปดาห์เลย)
3. She has drunk three cups of coffee today.
= วันนี้เธอดื่มกาแฟมา 3 แก้วแล้วนะ (เธอก็ยังดื่มต่อไป)
4. They haven't seen their boss today.
= วันนี้พวกเขายังไม่ได้เจอเจ้านายของพวกเขาเลย (จะหมดวันก็ยังไม่ได้เจอ)
5. Have you been to the mall this month?
= เธอไปห้างมาบ้างหรือยังเดือนนี้ (ยังไม่หมดเดือน)
1. We have gone to that beach many times.
= เราไปชายหาดนั่นมาหลายครั้งแล้วนะ (ไม่ได้บอกว่าไปเมื่อไหร่ นานเท่าไหร่แล้ว)
2. I am sure that I have seen that film several times.
= ฉันมั่นใจนะว่า ฉันดูหนังเรื่องนั้นมาหลายครั้งแล้ว (หลายครั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าดูตอนไหน)
3. We have not received a lot of positive feedbacks for a while.
= เราไม่ได้รับผลตอบรับเชิงบวกมากมายมาสักพักหนึ่งแล้ว (สักพักหนึ่งแต่ไม่ได้บอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่)
เพิ่มเติม สำหรับการใช้ been และ gone ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนอาจจะตั้งคำถามเหมือนกันใช่ไหมล่ะ เพราะทั้งสองคำมักจะใช้ในแง่การไปสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง โดยให้มีความหมายว่า “ไป” ทั้งสองคำ แต่เราสามารถเข้าใจได้ด้วยประโยคเปรียบเทียบด้านล่างนี้ได้เลย
She has gone to Mexico.
ฉันไปเม็กซิโกน่ะ (ไปแต่ยังไม่กลับ ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่นั่น)
She has been to Mexico.
ฉันไปเม็กซิโกมาแล้ว (เป็นการบอกประสบการณ์ว่าเคยทำอะไรมาแล้ว)
เห็นไหมว่า รูปปัจจุบัน ภาษาอังกฤษ ของ Present Perfect นั้นเข้าใจได้ไม่ยากเลย สรุปก็คือ Tense นี้เน้นย้ำกับการนำไปใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เกิดซ้ำ ๆ หรือมีผลจากอดีตมาถึงปัจจุบันนั่นเอง บอกเลยว่า เป็น Tense ที่ทุกคนได้นำไปใช้แน่นอน เมื่ออ่านจบแล้วทุกคนก็อย่าลืมที่จะนำ ประโยคปัจจุบัน อังกฤษ ของ Present Perfect Simple ไปใช้กันด้วยนะ