ความคิดบวก มิได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อสิ่งไม่ดีเสมอไป แต่เป็นการพยายามมองผู้อื่นให้ดีที่สุดในสถานการณ์ที่อาจเลวร้าย ไม่มีใครคาดคิดว่า การคิดบวก จะต้องเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันในยุคปัจจุบันนี้ แต่ในความเป็นจริงเราควรฝึกการคิดบวก นั่นเพราะสภาพแวดล้อม ข่าวสารและการเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่มีความรวดเร็ว รวมถึงความกดดันจากปัญหาทางสังคม การงานและครอบครัวที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การคิดบวกจึงช่วยจรรโลงใจต่อสิ่งที่สามารถมากระทบจิตใจได้จากหลายทางข้างต้น เพราะมันดีกว่าไม่ใช่เหรอหากเราสามารถมองทุกอย่างในแง่ดี
ทำไมคนเราต้อง คิดบวก ?
Positive thinking คือ การคิดที่จะทำให้คุณรู้สึกดี มีจิตใจที่แจ่มใสมากยิ่งขึ้น เพราะคุณไม่สามารถที่จะรู้สึกดีพร้อม ๆ กับรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกันได้ เมื่อคุณมีจิตใจที่ดีก็เหมือนกับมีกำลังใจให้กับตนเองและสามารถทำอะไรต่อไปด้วยจิตใจที่เบิกบานได้ เมื่อคุณมีจิตใจและอารมณ์ที่แจ่มใส การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็จะเป็นไปด้วยดีเช่นกัน ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวก็จะส่งผลให้คนรอบข้างอยากอยู่ใกล้คุณ เพราะการที่คุณมีความสุขเท่ากับว่าเขาก็มีความสุขด้วย เมื่อมีจิตใจที่ดีขึ้นแล้วความคิดในการแก้ไขปัญหาก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะการที่คุณคิดบวกก็จะทำให้คุณมีสติมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ถ้าหากคุณมีจิตใจที่ไม่ดี หัวร้อน ขาดสติ ก็จะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยากลำบาก บางครั้งปัญหาที่มีเพียงน้อยนิด อาจกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่โตก็เป็นได้ ซึ่งหากคุณมีความคิดดีและสามารถผ่านปัญหาเหล่านั้นได้ก็จะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบมากขึ้น
คิดบวกทำให้มีสุขภาพร่างกายที่ดียิ่งขึ้น เคยสังเกตตนเองหรือไม่ว่าเวลาที่เราโกรธโมโห จะมีอาการเลือดลมสูบฉีด มือไม้สั่น เพราะว่าหัวใจกำลังเต้นแรงผิดปกติ ความเครียดเข้าครอบงำ ในขณะที่การมองโลกในแง่ดีก็จะช่วยให้คุณไม่เครียด หัวใจเต้นเป็นปกติ สุขภาพก็จะดีขึ้นด้วย
การคิดบวกจะทำให้คุณมีแต่มิตรโดยไร้ศัตรู หากคุณเป็นคนที่มีจิตใจดี มนุษยสัมพันธ์ดี ทุกคนก็จะเป็นมิตรกับคุณ และอาจจะไม่มีใครคิดร้ายหรือทำลายคุณ มีแต่จะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ที่ทุกคนเคยประสบเหตุที่แย่ ๆ ต้องมีความคิดลบเข้ามาในจิตใจอย่างแน่นอน เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่สามารถระงับจิตใจให้เลี่ยงการคิดลบลงได้ เพราะโดยส่วนใหญ่คนมักจะจดจำแต่เรื่องราวแย่ ๆ มากกว่าเรื่องราวดี ๆ หากสังเกตให้ดีเรามักจะได้ยินพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เล่าถึงประสบการณ์ที่ลำบากในชีวิตให้ลูกหลานฟังมากกว่าเรื่องที่ดี ๆ อาจเพราะต้องการที่จะบอกเล่าประสบการณ์ไว้เตือนลูกหลานมิให้ลำบากเหมือนอย่างตนเองที่เคยผ่านมาก แต่ถึงอย่างไรคนเราก็สามารถนำความคิดเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขและจัดการกับความคิดเหล่านั้น แม้จะใช้เวลาสักหน่อย แต่ถ้าได้ฝึกฝนบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้คิดบวกได้อย่างแน่นอน
เชื่อได้ว่าทุกคนมีอารมณ์โกรธ โมโห อยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรจึงจะทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธได้ว่า สามารถควบคุมอารมณ์โกรธเหล่านั้นได้ โดยมองหาเหตุของการกระทำที่ให้คุณโกรธ หากเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ บางครั้งอาจต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อคุณก็เป็นได้ เช่น เคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีต่อคุณเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ซึ่งคุณไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ การปล่อยผ่านหรือไม่คิดถึงมันย่อมดีกว่าเพราะไม่ปวดหัวและเสียเวลาจมอยู่กับอดีตด้วย หรือข่าวสารบ้านเมืองที่มีแต่ข่าวร้าย ๆ ทำให้จิตใจหดหู่ โกรธ โมโหต่อข่าวร้าย ต่อให้คุณเสพข่าวมากแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ไขได้ สู้ปิดข่าว แล้วหลีกหนีไปทำกิจกรรมอื่นย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ
การฝึกเห็นคุณค่าของสิ่งรอบข้างเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะทุกคนสามารถฝึกฝนจากที่บ้านได้เลย เช่น หมอนที่คุณนอนเป็นอย่างไร นอนแล้วหลับสบาย ไม่ปวดเมื่อยคอแถมฝันดีในทุก ๆ คืน เสื้อผ้าที่คุณใส่ สวยดี สีสันสดใส หากออกไปตามคาเฟ่เพื่อสั่งกาแฟสดสักแก้ว ให้ลองนั่งและพิจารณาการชงกาแฟของบาริสต้า ว่ามีความประณีตหรือใส่อะไรลงไปบ้าง ทำไมกาแฟที่ได้รับถึงมีกลิ่นหอมฟุ้ง ใช้เครื่องชงจากที่ไหน เมล็ดกาแฟจากประเทศใด เป็นอาราบิก้าหรือโรบัสต้า สิ่งเล็ก ๆ ล้วนสร้างความสุขให้กับคุณได้
การที่คนเรามีสติสัมปะชัญญะ เชื่อได้เลยว่าจะไม่มีเหตุการณ์ร้าย ๆ ในชีวิต หากแต่น้อยคนนักที่จะมีสติเมื่อเวลาที่เจอเหตุการณ์ที่แย่ ส่วนใหญ่จะระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมความคิดลบ หากสามารถฝึกและควบคุมสติเอาไว้ได้ก็จะช่วยให้คุณระงับ ยับยั้งชั่งใจต่อเหตุการณ์แย่ ๆ ได้ เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน หากคนมีสติก็จะรีบโทรหาตำรวจ โทรหาบริษัทประกัน สำรวจความเสียหายโดยรอบทั้งรถของตนเองและคู่กรณี แต่ถ้าคุมสติไม่ได้ก็จะโวยวาย โมโห โดยไม่มองถึงเหตุการณ์ว่ามันคืออุบัติเหตุ ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิด เพียงแต่เกิดขึ้นแล้วจะให้มันจบอย่างไรให้เร็วที่สุดและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง
เป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนของคุณ สื่อและโซเชียลต่าง ๆ จะไม่มีเรื่องคิดลบ เพียงแต่คุณจะทำอย่างไรที่จะหลีกเลี่ยงและถอยห่างจากคนคิดลบเหล่านั้นได้ เพราะหากอยู่ใกล้มากเท่าไร ใช้ระยะเวลานานเท่าใด ยิ่งทำให้คุณกลายเป็นคนคิดลบไปด้วย โดยเฉพาะความคิดของกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร สื่อโซเชียลต่าง ๆ ที่คุณคิดว่ากลุ่มคนเหล่านั้นกำลังบั่นทอนความคิดและกำลังใจของคุณจนส่งผลต่อสุขภาพจิต เพียงถอยออกมา หลีกเลี่ยงออกมาหันมาเลือกเพื่อน สื่อและโซเชียลที่สร้างความสุขให้กับคุณไม่ดีกว่าหรือ
หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าการออกกำลังจะสามารถช่วยให้คนคิดบวกได้อย่างไร ซึ่งจริง ๆ แล้ว การออกกำลังกายนี่แหละคือยาวิเศษที่นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้จิตใจดี ไม่ฟุ้งซ่านอีกด้วย เพราะจิตใจคุณจะได้ปลดปล่อยไปกับการออกกำลังกาย ร่างกายมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินที่ทำให้อารมณ์ดี ลดเคมีที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เมื่อออกกำลังกายเสร็จทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและต้องนอนพักผ่อน เมื่อได้นอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น แจ่มใส ในขณะที่คนพักผ่อนน้อยก็จะทำให้หงุดหงิดและเสียสุขภาพได้
กล้าทำก็ต้องกล้ารับ โดยเฉพาะความผิดพลาดที่ตนเองก่อขึ้น จากนั้นค่อยหาวิธีการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ 100% แต่ดีกว่าไม่ยอมแก้ไขอะไรเลยจนส่งผลให้ความคิดของตนเองจมดิ่งถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกปัญหาที่วิธีแก้ไขเสมอ เพียงแต่จะใช้วิธีใดในการแก้ไข อย่าโยนความผิดให้ผู้อื่น เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันก็จะหายไปด้วย
เคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “ธรรมชาติบำบัด” หรือไม่ การที่เราได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เชื่อได้เลยว่าจะสามารถเยียวยาจิตใจที่กำลังแย่ของคุณขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านการทำงานมาอย่างหนักหน่วงและได้โอกาสในการพักผ่อน ลองหาโอกาสไปสัมผัสธรรมชาติที่สะอาด บริสุทธิ์ แล้วจะรู้ว่ามีความสุขมากแค่ไหน
แม้ทุกคนจะไม่สามารถคิดบวกไปได้หมดทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยหากคุณได้ฝึกฝน การคิดเชิงบวก และปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เชื่อได้เลยว่าจะสามารถกลายเป็นคนคิดบวกได้แม้ในยามคับขัน ซึ่งมันจะช่วยยกระดับจิตใจให้สบายและมีแต่ความสุข
ที่มาข้อมูล