ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องสอบ IELTS ได้ Band 5.0 ต้องรู้แกรมม่าเรื่องใดบ้าง? 4 แกรมม่าที่ควรรู้เพื่อการสอบ IELTS ให้ได้ Band 5.0 มีดังนี้
Clause (อนุประโยคหรือประโยคย่อย) คือกลุ่มคำที่ประกอบไปด้วย ประธานและกริยา เป็นส่วนหนึ่งของประโยค (Sentence) แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. Main clause หรือ Independent Clause คือประโยคใจความหลัก เป็นประโยคที่มีความสมบูรณ์ในตัว ประกอบด้วยประธานและภาคแสดง เช่น
My father is a doctor.
My father = ประธาน / is a doctor = ภาคแสดง
2. Subordinate clause หรือ Dependent Clause คือ อนุประโยค เป็นประโยคที่ไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง มักใช้ประกอบ Main clause เพื่อขยายหรืออธิบายให้มีความสมบูรณ์ โดย Subordinate clause มักขึ้นต้นด้วย Subordinating Conjunction เช่น because, if, when, unless, until, while, whereas, as soon as
Subordinate clause แบ่งตามหน้าที่ได้ 3 ชนิด คือ
1. Noun Clause (นามานุประโยค) คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นคำนาม ประกอบไปด้วยประธานและกริยา มักขึ้นต้นด้วย How That What Whatever When Where Whether Which Whichever Who Whoever Whom Whomever Why
หน้าที่ของ Noun Clause
- ทำหน้าที่เป็นประธานของกริยา
ex. What happened was great.
- ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา โดยจะตามหลังคำกริยา
ex. I don’t know how he can be reached.
- ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุพบท
ex. John is the owner of that red car parked outside.
- ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (Complement)
ex. She knows that I am a teacher.
2. Adjective Clause (คุณานุประโยค) คือ อนุประโยคที่ทำหน้าเป็นคำคุณศัพท์เพื่อขยายคำนามและสรรพนาม จะนำหน้าด้วยคำเชื่อม 2 ชนิด คือ
Relative Pronoun – who whom that which whose
ex. I don’t like people who drink water without a straw.
Relative Adverb – when where why
ex. We visited the house where our mother was born.
3. Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์เพื่อขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ คำวิเศษณ์ และทั้ง Clause มี 9 ชนิด ดังนี้
1. ขยายกริยาเผื่อแสดงเวลา (Adverb Clause of Time) เช่น when, whenever, while, whilst, before, after, as soon as.
ex. We were watching TV when the bell rang.
2. ขยายกริยาเผื่อบอกสถานที่ (Adverb Clause of Place) เช่น where, wherever.
ex. I will follow you wherever you go.
3. ขยายกริยาเพื่อแสดงอาการ (Adverb Clause of Manner) เช่น as, as if, although, albeit
ex. As you are sorry, I’ll forgive you this one time.
4. ขยายกริยาวิเศษณ์หรือคุณศัพท์เพื่อแสดงการเปรียบเทียบ (Adverb Clause of Comparison) เช่น than, as…as, so…as
ex. Tom is not so clever as you think.
5. ขยายกริยาหรือคุณศัพท์เพื่อแสดงเหตุผล (Adverb Clause of Cause/Reason) เช่น because, as, since.
ex. Please go ahead of me, because I have something to do.
6. ขยายกริยาเพื่อแสดงจุดมุ่งหมาย (Adverb Clause of Purpose) เช่น so (that), in case, lest, in order that, for fear (that)
ex. He did everything in order that he could get the prize.
7. ขยายกริยา คุณศัพท์ วิเศษณ์เพื่อแสดงผลลัพธ์ (Adverb Clause of Result) เช่น so...that, such...that
**so+ adj. + that + Clause = มากเสียจนกระทั่ง
ex. Tom worked so hard that he succeeded.
8. ขยายกริยาเพื่อแสดงเงื่อนไข (Adverb Clause of Condition) เช่น if, unless, provided that, on condition that.
ex. You won’t succeed unless you work hard.
9. ขยายกริยา หรือ คุณศัพท์ เพื่อแสดงการยอมรับ (Adverb Clause of Concession) เช่น thought, although, however, whatever.
ex. she is persistent though she doesn’t look so.
Conditional Sentences (if-Clause) คือ ประโยคแสดงเงื่อนไข ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ If clause ประโยคเงื่อนไข ขึ้นต้นด้วย If (เป็นเงื่อนไข) และ Main clause ประโยคหลัก (เป็นผลที่ตามมา) Conditional มี 4 รูปแบบคือ First Condition, Second Condition, Third Condition และ Mixed conditionals ซึ่งจะคว้า Band 5.0 จำเป็นต้องรู้และเข้าใจ First Condition
First Condition (Type 1) ใช้เมื่อเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ในปัจจุบันและอนาคต
โครงสร้าง If + S + V.1, S + will + V.inf.
หรือ S + will + V.inf. + If S + V.1
ex. If you set your mind to a goal, you will eventually achieve it.
(ถ้าตั้งใจกับเป้าหมายคุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด)
ex. You will miss the train if you don’t hurry.
(คุณจะขึ้นรถไฟไม่ทัน ถ้าคุณไม่รีบ)
Infinitive of purpose คือ Infinitive with to หรือกริยาช่องที่ 1 ที่มี to นำหน้า และทำหน้าที่เป็นคำนาม ใช้แสดงเป้าหมาย, วัตถุประสงค์ หรือใช้ในการตอบคำถาม ‘Why?’ ว่าทำไมถึงทำสิ่งนั้น
ex. Prawit bought a gorgeous watch to give to his girlfriend.
(ประวิทย์ซื้อนาฬิกาสุดหรูเพื่อให้แก่แฟนสาวของเขา)
A: Why do you study English?
(ทำไมคุณถึงเรียนภาษาอังกฤษ)
B: I’m studying English to get a good job.
(ฉันเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะได้งานดีๆ)
วลีอื่นๆ ที่ใช้แสดงวัตถุประสงค์แทน Infinitive of purpose ได้ โดยที่จะมีความเป็นทางการมากขึ้น คือ
in order to + infinitive / so as to + infinitive (เพื่อที่จะ...)
in order not to + infinitive / so as not to + infinitive (เพื่อที่จะได้ไม่...)
ex. She wears high-heeled shoes in order to look taller.
(เธอสวมรองเท้าส้นสูงเพื่อที่จะได้ดูสูงขึ้น)
ex. I hope to hear more from you so as not to make the same mistake again.
(ฉันหวังว่าจะได้ยินจากคุณมากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ทำผิดพลาดอีกครั้ง)
Present Continuous Tense
Present Continuous Tense เป็นการบอกเล่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
รูปประโยคของ Present Continuous Tense
ประโยคบอกเล่า : S + V. to be + V.ing + O + (คำบอกเวลา)
ex. We are reading newspaper now.
ประโยคคำถาม : V. to be + S + V.ing + O + (คำบอกเวลา)?
ex. Is it raining at the moment?
ประโยคปฏิเสธ : S + V. to be + not + V.ing + O + (คำบอกเวลา)
ex. The students are not studying Science.
การใช้ Present Continuous Tense
1. เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์หรือการกระทำในปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่และยังไม่จบลง (จะจบลงในอนาคต) คำบอกเวลาที่มักพบในประโยค เช่น now, at the moment, right now
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น
3. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการเตรียมและวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว คำบอกเวลาที่มักพบในประโยค เช่น tonight, this evening, tomorrow, next week
4. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยจนเกินไป ทำให้ซ้ำซากและน่าเบื่อ
ข้อควรจำ : คำกริยาบางตัวไม่สามารถนำมาใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense ได้ ดังนี้
1. กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell เป็นต้น
2. กริยาที่แสดงความรู้สึก นึกคิด เช่น believe, know, understand, forget, remember, recognize, fear เป็นต้น
3. กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น love, like, hate, dislike, desire เป็นต้น
4. กริยาที่แสดงความต้องการ เช่น want, wish, prefer เป็นต้น
Present Perfect Tense
Present Perfect Tense เป็น Tense เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มีผลต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
รูปประโยคของ Present Perfect Tense
ประโยคบอกเล่า : S + has/have + V.3
ex. I have lived here for thirteen years.
ประโยคคำถาม : Has/Have + S + V.3
ex. Have you eaten lunch yet?
ประโยคปฏิเสธ : S + has not/have not + V.3
ex. He has not finished cleaning the house.
หลักการใช้ Present Perfect Tense คือ
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไป หรือเพิ่งจบลงใหม่ ๆ มักจะมีคำว่า just, already หรือ yet ในประโยค
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตและมีผลหรือยังคงสภาพจนถึงปัจจุบัน แต่เหตุการณ์นั้นได้จบลงไปแล้ว โดยส่วนใหญ่จะมีคำว่า since, for, ever since, so far อยู่ในประโยค
3. ใช้ในการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีคำว่า never, ever, once, twice รวมอยู่ด้วย
4. ใช้ในโครงสร้าง If-clause แบบที่ 1 ในส่วนของเงื่อนไขที่แสดงว่าถ้าทำเหตุการณ์หนึ่งเสร็จแล้วอีกเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
คอร์สแนะนำ
✔คอร์ส IELTS Reading by Paddington เพิ่มคะแนน Reading เตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศ
สมัครเรียนเลย 👉https://vcourse.ai/courses/228
✔คอร์ส IELTS Vocabulary by Paddington รวมคำศัพท์ที่ออกสอบบ่อย
สมัครเรียนเลย👉https://vcourse.ai/courses/229
✔คอร์ส IELTS Writing by Paddington ปูพื้นฐานและให้เทคนิคการเขียน
สมัครเรียนเลย👉https://vcourse.ai/courses/240