นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ศึกษาทดลองค้นหาคำตอบเกี่ยวกับแบบจำลองโครงสร้างของอะตอมในรูปแบบต่าง ๆ และนำเสนอทฤษฎีแบบจำลอง โครงสร้างอะตอม ไว้ดังนี้
ดาลตันได้เสนอทฤษฎีอะตอม ไว้ว่า
1) อะตอม คือ หน่วยที่เล็กที่สุด แบ่งแยกออกไม่ได้ มีรูปทรงเป็นทรงกลมตัน
2) ธาตุชนิดเดียวกันจะประกอบขึ้นจากอะตอมชนิดเดียวกัน ที่มีมวลและคุณสมบัติเหมือนกัน
3) สารประกอบ คือ อะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปที่รวมตัวกันด้วยสัดส่วนที่คงที่
4) อะตอมของธาตุแต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติ ลักษณะรูปร่าง มวลและน้ำหนักเฉพาะตัว
5) น้ำหนักรวมทั้งหมดของธาตุแต่ละธาตุ คือ ผลรวมของน้ำหนักอะตอมของธาตุแต่ละชนิดที่มารวมกัน
ทอมสัน เป็นผู้ค้นพบ อิเล็กตรอน และนำเสนอแบบจำลองอะตอมที่เรียกว่า Plum pudding ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขนมปังก้อนกลมที่มีลูกเกดอยู่ตรงกลาง ซึ่งมีแบบจำลองโครงสร้างของอะตอม ดังนี้
1) อะตอมมีรูปร่างเป็นทรงกลม
2) อะตอมจะเป็นประจุไฟฟ้าบวกอยู่ตรงกลาง (อนุภาคโปรตอน) และมีประจุลบ (อนุภาคอิเล็กตรอน) กระจายอยู่โดยรอบ
3) ในสภาวะปกติ อะตอมมีสภาพกลางทางไฟฟ้า (มีประจุไฟฟ้าบวกเท่ากับประจุไฟฟ้าลบ)
4) อะตอมไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุดและแบ่งแยกไม่ได้ แต่ อะตอม คือ การรวมตัวของอิเล็กตรอนและอนุภาคอื่น ๆ
แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด หรือถูกเรียกอีกชื่อว่า แบบจำลองอะตอมแบบดาวเคราะห์ ซึ่ง รัทเทอร์ฟอร์ด ได้อธิบายแบบจำลองโครงสร้างอะตอม ของตนว่าอะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสประจุบวกที่มีมวลมากรวมกันอยู่ตรงกลางหรือที่เรียกว่าโปรตอน มีอิเล็กตรอนประจุลบที่มีมวลน้อยมากวิ่งอยู่รอบนิวเคลียสเป็นบริเวณกว้าง
นีลส์โบร์ ได้เสนอแบบจำลองของโครงสร้างของอะตอม ไว้ดังนี้
1) อิเล็กตรอนที่มีประจุลบจะเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเป็นวงชั้นตามระดับพลังงาน และแต่ละชั้นของการเคลื่อนที่อิเล็กตรอนมีพลังงานเป็นค่าเฉพาะตัว
2) อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้นิวเคลียสมากที่สุดมีระดับพลังงานต่ำสุด
3) อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับชั้นที่ใกล้นิวเคลียสมากที่สุด มีระดับพลังงาน n = 1 ระดับพลังงานในชั้นถัดไป คือ n = 2, n = 3, … ตามลำดับ หรือระดับชั้น K, L, M, N, O, P, Q, …
แบบจำลองอะตอมของชเรอดิงเงอร์ หรือ แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก หรือ แบบจำลองอะตอมกลศาสตร์ควอนตัม เป็นแบบจำลองที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างของอะตอม ดังนี้
1) อิเล็กตรอนวิ่งรอบนิวเคลียสด้วยรัศมีที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนได้
2) อิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่เร็วมาก จนเหมือนกับว่ามีจำนวนอิเล็กตรอนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งมองดูมีลักษณะคล้ายเป็น “กลุ่มหมอก”
3) รูปทรงของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอน มีรูปทรงแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับพลังงานและจำนวนของอิเล็กตรอน
4) อิเล็กตรอนกลุ่มหมอกที่มีระดับพลังงานต่ำจะอยู่ใกล้กับนิวเคลียส กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนที่มีระดับพลังงานสูงจะอยู่ไกลจากนิวเคลียส
5) อิเล็กตรอนมีระดับพลังงานไม่คงที่ และมีหลายระดับพลังงาน
สัญลักษณ์ของนิวเคลียร์ของธาตุ (nuclear symbols) มีลักษณะคล้ายสมการเคมี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอนุภาคมูลฐานของอะตอม ที่มีการแสดงจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน
เลขมวล (จำนวนโปรตอน + จำนวนนิวตรอน)
A
X
Z
เลขอะตอม (จำนวนโปรตอน)
A แทน เลขมวล (mass number) ซึ่งเท่ากับ จำนวนโปรตอน + จำนวนนิวตรอน
Z แทน เลขอะตอม (atomic number) ซึ่งคือ จำนวนโปรตอน
X แทน สัญลักษณ์ของธาตุ
อนุภาคมูลฐานของอะตอม (fundamental particle of atom) คือ อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของอะตอม ซึ่งประกอบไปด้วย โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) และอิเล็กตรอน (electron)
ในสภาวะที่อะตอมเป็นกลาง เลขอะตอม = จำนวนอนุภาคโปรตอน (p+) = จำนวนอนุภาคอิเล็กตรอน (e-) สำหรับอะตอมที่ไม่เป็นกลาง ที่มีเลขอะตอมเท่ากับจำนวนโปรตอน (p+) แต่ไม่เท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน (e-) จะถูกเรียกว่า ไอออน (ion) ซึ่งมีค่าเป็นไปได้ทั้งไอออนบวก (cation) หรือไอออนลบ (anion)
เลขมวล = จำนวนนิวตรอน (n) + จำนวนโปรตอน (p+)
ตัวอย่าง
4
He
2
จากสัญลักษณ์ด้านบน หมายความว่า เลขมวล = 4 และ เลขอะตอม = 2 ซึ่งนำมาแทนค่าในสมการได้ เท่ากับ
4 = n + 2
ดังนั้น n = 4 – 2 = 2
คำตอบ คือ มีจำนวนอนุภาคนิวตรอน (n) = 2 จำนวนอนุภาคโปรตอน (p+) = 2 และจำนวนอนุภาคอิเล็กตรอน (e-) = 2
ตัวอย่างเช่น
1 3
H และ H ไอโซโทปกัน
1 1
18 19
O และ F ไอโซโทนกัน
8 9
15 15
N และ C ไอโซบาร์กัน
7 6
20 19
Ne และ F- ไอโซอิเล็กทรอนิกส์กัน
10 9
การจัดเรียงอิเล็กตรอน หมายถึง การจัดเรียงอิเล็กตรอนในแต่ละอะตอมตามระดับพลังงานหลักและระดับพลังงานย่อย โดยมีการแบ่งชั้นตามเลขอะตอมที่แน่นอน โดยการเรียงลำดับไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้ทราบว่า ธาตุนั้นอยู่ในหมู่ใดและในแต่ละระดับพลังงานสามารถบรรจุอิเล็กตรอนได้เท่าใด เช่น
2n2 เมื่อ n = 1, 2, 3,….
ดังนั้น เลขชุดที่ใช้ในการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก คือ 2n1, 2n2, 2n3, 2n4 ซึ่งเท่ากับ 2(2)1, 2(2)2, 2(2)3, 2(2)4 หรือหมายความว่า จำนวนอิเล็กตรอน (e-) ที่มีได้มากที่สุดในแต่ละระดับพลังงานเท่ากับ 2, 8, 18, 32 โดยระดับพลังงานที่มากกว่า 4 ขึ้นไป จะมีอิเล็กตรอนได้มากที่สุดเพียง 32 ตัว
เป็นระดับพลังงานชั้นใหญ่ของอิเล็กตรอน โดยระดับพลังงานชั้นสุด คือ ระดับพลังงานที่ n = 1 จะมีอิเล็กตรอนได้มากที่สุด 2 ตัว และในระดับชั้นถัดมาที่ n = 2, 3, 4 จะมีอิเล็กตรอนได้มากที่สุด 8, 18 และ 32 ตามลำดับ โดยระดับพลังงานที่ n มากกว่า 4 ขึ้นไป จะมีอิเล็กตรอนได้มากที่สุดเพียง 32 ตัวเท่านั้น
ระดับพลังงานย่อย หรือมีชื่อหนึ่งว่า ออร์บิทัล (orbital) เป็นระดับพลังงานย่อยที่อยู่ในแต่ละชั้นของระดับพลังงานใหญ่ โดยมีระดับพลังงานย่อยเป็น 4 ประเภทใหญ่ คือ s, p, d และ f ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปร่างต่างกัน ดังนี้
จะเห็นได้ว่ามีการศึกษาเรื่องอะตอมต่อยอดกันมาเรื่อย ๆ ในแต่ละยุคสมัย ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ที่แตกแขนงไปอย่างมากในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนของอุปกรณ์เครื่องมือและนวัตกรรมต่าง การศึกษาสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าอะตอมนี้เป็นรากฐานของการสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ที่มาข้อมูล