วรรณกรรม คือ งานเขียนทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใดหรือเพื่อความมุ่งหมายใด อาจจะเป็นใบปลิว หนังสือพิมพ์ นวนิยาย คำอธิบาย จดหมายหรือแม้กระทั่งฉลากยา ฯลฯ ล้วนเรียกว่าวรรณกรรมได้ทั้งสิ้น ส่วนวรรณคดี แปลตามรูปศัพท์คือ หนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี ทั้งนี้หนังสือหรือวรรณกรรมที่จะเป็นวรรณคดีได้ นอกจากจะเป็นหนังสือที่มีคุณค่าด้านเนื้อหา อารมณ์ สังคมและวัฒนธรรมแล้วจะต้องประกอบไปด้วยความงดงามของภาษาหรือที่เรียกกันตามศัพท์ภาษาวรรณคดี ว่า วรรณศิลป์นั่นเอง
“วรรณศิลป์” หมายถึง กลวิธีในการแต่ง ซึ่งประกอบด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำ โวหาร สำนวน ลีลา ประโยคและการเรียบเรียงที่ประณีต งดงาม หรือมีรสทางวรรณคดีที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลทำให้คนอ่านได้รับผลในทางอารมณ์และความรู้สึกซาบซึ้งสะเทือนใจ
1.รสวรรณคดี หรือกวีโวหาร
2. การใช้ภาพพจน์
3. การสรรคำ
1.รสวรรณคดีหรือกวีโวหาร
หมายถึง วรรณคดีที่มีเนื้อความถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจ ด้วยการเลือกสรรและเรียบเรียงถ้อยคำของกวี มี 4 รสหลัก ๆ ได้แก่ เสาวรจนี (การชมความงามของสิ่งต่าง ๆ ) นารีปราโมทย์(แสดงความรัก) พิโรธวาทัง(โกรธ) สัลลาปังคพิสัย(ความเศร้า)
1.1 เสาวรจนีหรือบทชมความงามของตัวละครชายหญิง ธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างปราสาทราชวัง ตลอดจนการพรรณนาเกียรติคุณความกล้าหาญของกษัตริย์
ตัวอย่าง
หน่อกษัตริย์ทัศนานางเงือกน้อย ดูแช่มช้อยโฉมเฉลาทั้งเผ้าผม
ประไพพักตร์ลักษณ์ล้ำล้วนขำคม ทั้งเนื้อนมนวลเปล่งออกเต่งทรวง
ขนงเนตรเกศกรอ่อนสะอาด ดังสุรางค์นางนาฏในวังหลวง
พระเพลินพิศคิดหมายเสียดายดวง แล้วหนักหน่วงนึกที่จะหนีไป
(พระอภัยมณี : สุนทรภู่)
1.2 นารีปราโมทย์หรือบทแสดงความรัก เกี้ยวพาราสี โอ้โลมปฏิโลม ระหว่างชายหญิง
ตัวอย่าง
น้องเอยน้องรัก นวลละอองผ่องพักตร์เพียงแขไข
งามองค์ทรงลักษณ์วิไล พิศไหนสารพันเป็นขวัญตา
พี่หวังจะฝากไมตรีจิต รักร่วมสนิทเสน่หา
ควรฤาดวงใจไม่เมตตา แต่จะตอบวาจาก็ไม่มี
ช่างผินผันหันหลังไม่แลดู โฉมตรูขัดใจสิ่งไรพี่
เชิญชม้ายชายตามาทางนี้ จะสะบัดเบือนหนีพี่ยาไย
(บทละครเรื่องอิเหนา : ร.2)
1.3 พิโรธวาทังหรือบทโกรธ ตัดพ้อต่อว่า ประชดประชัน
ตัวอย่าง
เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา
คิดว่าหงส์จึงหลงด้วยลายย้อม ช่างแปลงปลอมท่วงทีดีหนักหนา
ดังรักถิ่นมุจลินท์ไม่คลาดคลา ครั้นลับตาฝูงหงส์ก็ลงโคลน
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)
1.4 สัลลาปังคพิสัย หรือบทโศก เศร้า คร่ำครวญ ร่ำไห้ เสียใจ
ตัวอย่าง
ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
(นิราศภูเขาทอง :สุนทรภู่)
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554 ได้ให้ความหมายของ ภาพพจน์ ไว้ว่า ถ้อยคำที่เป็นสํานวนโวหาร ทําให้นึกเห็นเป็นภาพ ถ้อยคำที่เรียบเรียงอย่างมีชั้นเชิงเป็นโวหาร มีเจตนาให้มีประสิทธิผลต่อความคิด ความเข้าใจ ให้จินตนาการและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งกว่าการบอกเล่าที่ตรงไปตรงมา
ภาพพจน์ที่กวีไทยนิยมใช้ในการแต่งวรรณคดีมีดังต่อไปนี้
2.1 อุปมา คือ การใช้ความเปรียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง โดยจะมีคำเปรียบปรากฏอยู่ในข้อความด้วย เช่น ดุจ ดั่ง เสมอ เสมือน ประหนึ่ง เฉก เช่น ปาน ปูน เพี้ยง เพียง เป็นต้น
ตัวอย่าง
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)
คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
คุณบิดรดุจอา- กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร
(โคลงโลกนิติ : กรมพระยาเดชาดิศร)
2.2 อุปลักษณ์ คือ การเปรียบว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เป็นภาพพจน์ที่นำสิ่งที่แตกต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมกันมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้คำว่า เป็น คือ เท่า หรือบางครั้งอาจไม่ปรากฏคำเชื่อมเลย
ตัวอย่าง
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)
2.3 บุคคลวัต คือ การสมมุติให้สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ได้แก่ สัตว์ พืช ลมฟ้าอากาศ ฯลฯ มีความรู้สึก กิริยาอาการเหมือนมนุษย์ หรือให้สิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีกิริยาอาการเสมือนมีชีวิต มีจิตวิญาณ มีความคิด มีความรู้สึกต่าง ๆ
ตัวอย่าง
นกยางตัวหนึ่งอาศัยอยู่ริมสระแห่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถจับปลาได้ง่ายนัก เพราะน้ำในสระลึกเกินไป วันหนึ่งมันจึงแสร้งร้องไห้ตรงขอบสระ (ปกรณัมนิทาน)
2.4 สัทพจน์ หรือ การเลียนเสียงธรรมชาติ คือการถ่ายเสียงหรือเลียนเสียงต่าง ๆที่ไม่ใช่เสียงพูด เช่น เสียงสัตว์ร้อง เสียงลมพัด เสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ฯลฯ
ตัวอย่าง
นกกระเรียนเวียนลงหนอง ตรอมเที่ยวย่องร้องแกร๋แกร๋
(กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
ต้อยตะริดติ๊ดตี่เจ้าพี่เอ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุราลัย แม้เด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
(พระอภัยมณี : สุนทรภู่)
2.5 อติพจน์ หรือ การกล่าวเกินจริง คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึกทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ตัวอย่าง
พระเจ้ากรุงจีนได้ฟังก็ตรัสห้ามนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวงว่าเราเป็นกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่เขาแล้ว จะกลับคำไปดังนั้นหาควรไม่ พม่าทั้งปวงจะชวนกันดูหมิ่นได้ว่าจีนพูดมิจริง เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์ อย่าว่าแต่สมบัติของมนุษย์นี้เลย ถึงท่านจะเอาทิพยสมบัติของสมเด็จอมรินทร์มายกให้เราๆก็มิได้ปรารถนา...
(ราชาธิราช : สมเด็จเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
2.6 ปฏิพากย์ คือ การนำคำตรงกันข้าม หรือคำที่มีความหมายที่ไม่สอดคล้องกันและดูเหมือนจะขัดแย้งกันมาใช้ด้วยกันเพื่อให้กระทบความรู้สึกเป็นพิเศษ
ตัวอย่าง
แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น
(วารีดุริยางค์ :เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
2.7 สัญลักษณ์ คือ การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติหรือลักษณะภาวะบางประการร่วมกัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชน เช่น
ดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์แทน ผู้หญิง
ราชสีห์ เป็นสัญลักษณ์แทน ผู้มีอำนาจ
ดอกมะลิ เป็นสัญลักษณ์แทน ความสะอาด บริสุทธิ์
ตะวันขึ้น เป็นสัญลักษณ์แทน ความหวัง เป็นต้น
2.8 นามนัย คือ การใช้คำที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงความหมายแทนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น เก้าอี้ แทนตำแหน่งหน้าที่ของผู้บริหาร ดวงดาวแทนความสำเร็จ ความคาดหวัง
3.1 การเล่นเสียง คือการเลือกสรรคำสัมผัส มีทั้งการเล่นเสียงพยัญชนะ เล่นเสียงสระ และเล่นเสียงวรรณยุกต์
ตัวอย่าง
เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุมเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
รังนกนึ่งน่าซด โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
(กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน : ร.2)
3.2 การเล่นคำ คือ การใช้กลการประพันธ์ในการแต่งบทร้อยกรองด้วยการซ้ำคำหรือซ้ำอักษรให้เกิด
เสียงเสนาะ หรือให้มีความหมายที่ลึกซึ้งกินใจยิ่งขึ้น มี ๓ ชนิดคือ การเล่นคำพ้อง การเล่นคำซ้ำ และการเล่นคำเชิงถาม
3.2.1 การเล่นคำพ้อง คือการเล่นคำที่ออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน เช่น
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล ประเดี๋ยวใจพบนางริมทางจร
บางพลัด= ชื่อสถานที่
พลัดนาง=พลัดพรากจากนาง
3.2.2 การเล่นคำซ้ำ คือการนำคำคำเดียวกันมาใช้ซ้ำ ๆ กัน ในที่ใกล้ๆ กัน เพื่อย้ำความหมาย เช่น
รอนรอนสุริยะโอ้ อัสดง
เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง ค่ำแล้ว
รอนรอนจิตจำนง นุชพี่ เพียงแม่
เรื่อยเรื่อยเรียมคอยแก้ว คลับคล้ายเรียมเหลียว
(กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร)
3.2.3 การเล่นคำเชิงถาม ใน ภาษาวรรณคดี หมายถึง การใช้คำเชิงถามแต่ไม่ใช่ถามเพราะไม่ได้ต้องการคำตอบ เช่น
เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่ ใช่อวดเบ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
ไหนไถถากตรากตรำไหนทำครัว ใช่จะเก่งแต่จะยั่วผัวเมื่อไร
3.3 การหลากคำหรือคำไวพจน์ กวีนิยมใช้เพื่อเลี่ยงการใช้คำคำเดียวซ้ำ ๆ กัน เช่นเลือกใช้คำว่า สุดสวาท อนงค์ สมร นงคราญ เอวบาง งามงอน จอมสวาท บังอร นุช โฉมฉาย ในความหมายว่า “หญิงที่รัก” เป็นต้น
วรรณศิลป์นับเป็นลักษณะสำคัญของวรรณคดีไทยนอกจากจะสะท้อนให้เห็นความรุ่มรวยของภาษาไทยแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความงดงามของวรรณคดีไทยและความสามารถของกวีไทยอีกด้วย
ที่มาข้อมูล